วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

“มังคุด” ราชินีผลไม้ไทย


ช่วยปรับสมดุลร่างกาย-คลายร้อน

น่าตกใจไม่น้อยกับข้อมูลที่ว่า ชาวไทยเสียชีวิตเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คนจากโรคมะเร็ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากสิ่งที่เรียกว่า “อนุมูลอิสระ” ซึ่งต้นตอของอนุมูลอิสระนั้นมีอยู่ทั้งภายนอกและภายในร่างกายของคนเรา

         ภายนอกก็ได้แก่ มลพิษในอากาศ ควันบุหรี่ แสงแดด คลื่นความร้อน ฯลฯ ส่วนสารอนุมูลอิสระที่อยู่ภายในก็คือ กระบวนการเผาผลาญออกซิเจนในเซลล์ การย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

       จากการวิจัยพบว่าสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และเบตาแคโรทีน ทั้งสามตัวสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซีซึ่งละลายน้ำจะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกอนุมูลอิสระทำลาย

      ส่วนวิตามินอีละลายในไขมัน ช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ส่วนวิตามินเอซึ่งละลายได้ในไขมัน และอยู่ในรูปของเบตาแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์นั้นมีอยู่ในอาหารธรรมชาติกว่า 600 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการกลายพันธุ์ของเซลล์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ เช่น ลดความเสี่ยงการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ ลดการเกิดต้อกระจก โรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี

มังคุด...สรรพคุณเหลือล้น



          คนไทยรู้จักการนำธัญพืชต่างๆ จากธรรมชาติมาใช้ในการดูแลป้องกันและรักษาสุขภาพมาตั้งแต่อดีต “มังคุด” ผลไม้ไทยที่ขึ้นชื่อลือชาด้านความอร่อย จนผู้คนให้สมญานามว่า “ราชินีผลไม้ไทย” ก็เป็นหนึ่งในผลไม้ไทยที่นอกเหนือจากความอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าในการป้องกันและรักษาสุขภาพให้กับผู้คนมายาวนาน

       จากการศึกษาและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาสารสกัดจากมังคุด พบว่าผลมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) มากกว่า 40 ชนิด สารแซนโทนนั้นเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่สามารถพบได้ในผักและผลไม้ ในธรรมชาติสารแซนโทนมีมากกว่า 200 ชนิด



       ปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้ความสนใจในการศึกษาและวิจัยถึงคุณประโยชน์อันน่ามหัศจรรย์ของสารประกอบจากธรรมชาติชนิดนี้อย่างแพร่หลาย





        กลุ่มนักวิจัยชั้นนำในไทยก็มีการศึกษาและวิจัยสารสกัดจากมังคุดอย่างต่อเนื่องมากว่า 31 ปีที่แล้ว คณะนักวิจัยไทย นำโดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นักวิจัยชื่อดัง และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ค้นพบว่าแซนโทนที่มีสรรพคุณสูงสุด คือ GM-1 ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัยกว่าสารที่ให้รสเปรี้ยวในส้มถึง 5 เท่า



        สาร GM-1 มีสรรพคุณในการป้องกันโรคมากมาย อาทิ การระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และยังมีประสิทธิภาพในการฆ่าแบคทีเรียได้เทียบเท่ายาปฏิชีวนะราคาแพง การป้องกันและต้านการอักเสบได้ โดยมีประสิทธิภาพถึง 3 เท่าของแอสไพริน การระงับอาการปวด และลดอาการแพ้ได้ การต้านอนุมูลอิสระได้ดี



      ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ซึ่งมีสาเหตุที่เกิดจาก LDL Cholesterol Oxidation อีกทั้งยังพบว่า สารสกัดจากมังคุดยังช่วยยับยั้งการเจริญและฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับเซลล์ดีที่อยู่รอบๆ และสามารถระงับการเจริญของเชื้อวัณโรคและเชื้อ HIV ได้

    นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากหลากหลายสาขาวิชาการ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นอกกรอบของศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย โดยได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณจากองค์การมหาชน สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรและบริษัทมหาชน ทำให้เกิดปฏิบัติการวิจัยต่อยอดเชิงปฏิบัติของสารสกัดธรรมชาติจากมังคุด หรือเรียกกันว่า Operation BIM

     ปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกันสมดุล หรือ “Operation BIM” คือ ปฏิบัติการวิจัยต่อยอดเชิงประยุกต์ของผลการวิจัยสรรพคุณของผลไม้และธัญพืชหลากชนิด แล้วนำมาผสมกันให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพ จนเกิดเป็นสารอาหารที่ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและไร้ผลข้างเคียง อันจะส่งผลให้ประชากรโลกสามารถมีอายุยืนและมีความสุขมากขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยให้มีผู้คนมีสุขภาพดียิ่งขึ้นด้วย



 
     ทั้งนี้ เพราะร่างกายสามารถป้องกันสารแปลกปลอมจากภายนอกที่ทำลายสุขภาพ และก่อให้เกิดโรคร้าย เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง และร่างกายสามารถลดอาการผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะแพ้ภูมิตัวเอง ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาทางผิวหนัง สะเก็ดเงิน กระเพาะและลำไส้อักเสบ ข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน อาการแพ้ หัวใจ ตับและไตทำงานผิดปกติ หอบหืด สันนิบาต อาการชัก เป็นต้น



    BIM หรือ Balancing Immune เป็นการนำสารธรรมชาติจากผลไม้และธัญพืชหลากหลายมาเสริมประสิทธิภาพกับสาร GM–1 จากมังคุด จนเกิดผลกระตุ้นการหลั่ง Interleukin 2 (อินเตอร์ลิวคิน 2) ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง และเป็นผลจากการลดการหลั่ง Interleukin 1 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่ทำให้เกิดการแพ้ภูมิตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง แล้วยังสามารถลดความผิดปกติที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเองได้อีกด้วย




     ที่ผ่านมาสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้ใช้ Interleukin 2 เป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้าใต้ผิวหนัง เพื่อรักษามะเร็งขั้นสุดท้าย หลังจากการทดสอบจนแน่ใจว่ามีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียงแล้ว ทางศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดแห่งชาติจึงจดทะเบียนกับสำนักงานอาหารและยา

    “องค์การมหาชนประสานนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐจากเหนือจรดใต้ ร่วมงานวิจัยปฏิบัติการ “BIM” เพื่อหวังสร้างสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าของประชากรโลก ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนที่ใช้ผลไม้และธัญพืชในประเทศไทยเป็นวัตถุดิบ และเกิดมาตรการที่สามารถยกระดับราคาของผลผลิตทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างถาวรต่อเนื่อง

      ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจของคณะนักวิจัยไทย ในการประกาศให้วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกประจักษ์ว่า ผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยของคนไทย สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใครในโลกแห่งวิทยาการ” ศ.ดร.พิเชษฐ์ กล่าว

มังคุด...ช่วยคลายร้อน

     อากาศร้อนอย่างนี้ ผลไม้ที่ช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดีก็คือ มังคุด สารแทนนินที่มีในเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ สามารถนำมาสกัดเป็นเครื่องสำอางสมานผิวได้ผลดีทีเดียว แทนนินนั้นนอกจากมีคุณสมบัติช่วยในการสมานแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผล ฝี หนองแล้ว แทนนินยังสามารถใช้เป็นสารกันบูดในอาหารได้อีกด้วย



    สารสกัดจากเปลือกมังคุดมีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อสิวได้ และยังออกฤทธิ์ต้านเชื้อสิวอักเสบได้ดี นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดเปลือกมังคุดสามารถออกฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดรอยแผลเป็นของสิวอักเสบสูงถึงร้อยละ 77.8% แสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถนำมาพัฒนาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ในการป้องกันและรักษาสิวอักเสบได้

เราก็จะมีผลิตภัณฑ์ดีๆ ราคาไม่แพงที่เป็นสมุนไพรไทยแท้ใช้กัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


ประโยชน์จากเปลือกมังคุด

       ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพแห่งหนึ่งของโลก นอกจากพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวมากมายแล้ว ยังมีผักและผลไม้ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน เงาะ มังคุด ฯลฯ ในบรรดาผลไม้ทั้งหมด “มังคุด” ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งผลไม้” (Queen of fruits) ด้วยลักษณะเฉพาะของผลมังคุดที่มีกลีบเลี้ยงอยู่ที่หัวขั้วของผล คล้ายมงกุฏของราชินี เนื้อด้านในมีสีขาวนวล รสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อยอย่างยากที่จะมีผลไม้ชนิดใดในโลกเทียบเคียงได้

มังคุด (Mangosteen) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Garcinia mangostana Linn.

จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae

มังคุดเจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินเหนียวปนทราย ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงสามารถอุ้มน้ำและระบายน้ำได้ดี พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกมังคุดควรมีสภาพภูมิอากาศร้อนและชุ่มชื้น คือ มีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 25-30 องศาเซลเซียสและมีฝนตกชุกสม่ำเสมอ มังคุดจึงปลูกมากทางภาคใต้ของประเทศไทย



เปลือกมังคุด (pericarp)

ด้วยเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าในปัจจุบัน กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถทำการศึกษาถึงประโยชน์จากสารสำคัญที่มีอยู่ในเปลือกมังคุด คือ แทนนินและแซนโทน สารแซนโทนมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) จึงมีการศึกษามากมายที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของสารแซนโทนที่มีในเปลือกมังคุด แซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง (potent antioxidants) พบได้มากในเปลือกมังคุด และมีผลของการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระโดยวิธี ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) Brunswick Laboratories ทำการเปรียบเทียบระหว่างน้ำผลไม้อื่นๆและมังคุด พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม อนุมูลอิสระ (free radicals) เป็นโมเลกุลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการลูกโซ่ (chain reaction) ของปฎิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ดังนั้นร่างกายจึงต้องหาทางป้องกันการโดนทำลายจากอนุมูลอิสระ โดยสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง คือระบบแอนติออกซิแดนท์ (antioxidants) อย่างไรก็ตามภาวะที่ปริมาณอนุมูลอิสระมีมากเกินกว่าระบบแอนติออกซิแดนท์จะจัดการได้ จะเกิดภาวะเครียดขึ้น (oxidative stress) ก่อให้เกิดผลเสียต่อเซลล์ และการทำลายเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุ ของการแก่ (aging) และรุนแรงไปถึงการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นการกระตุ้นให้เกิดไขมันสะสมในหลอดเลือดนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดตีบ โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน(autoimmune disease) รวมไปถึงโรคมะเร็ง (cancer) เป็นต้น

สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระโดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอกจากร่างกายสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้เองตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ในวิตามิน แร่ธาตุ และสารจากผักและผลไม้ก็พบสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วย แซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง (potent antioxidants) พบได้มากในเปลือกมังคุด ปัจจุบันมีการศึกษาถึงประโยชน์ของสารแซนโทนจากเปลือกมังคุดในเรื่องต่างๆดังนี้ผลจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารแซนโทน จึงป้องกันการเกิดออกซิเดชันของLDL ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลตัวร้าย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease)

ภาวะไขมันอุดตันหลอดเลือดหัวใจ

อีกทั้งยังลดการทำลายเซลล์ อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการแก่ (aging) ด้วย ผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่างๆรวมถึงการตายของเซลล์มะเร็งในการศึกษาระดับห้องปฎิบัติการ เช่น เซลล์มะเร็งเต้านม, เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว , เซลล์มะเร็งตับ, กระเพาะอาหาร และเซลล์มะเร็งปอด

การกลายพันธุ์ของเซลมะเร็ง

- ผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อวัณโรค (Mycobacterium tuberculosis) , เชื้อ S. Enteritidis และเชื้อ HIV

- ฤทธิ์ในการช่วยขยายตัวของหลอดเลือด (vasorelaxing activities) ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิต (antihypertensive)

- การยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน (histamine) ฤทธิ์ต้านซิโรโทนิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้ (allergies)

อาการแพ้

การยับยั้งการสังเคราะห์สารพลอสตาแกลนดินอีทู (PGE2) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ เช่น การปวดอักเสบ กล้ามเนื้อ และข้อสารแซนโทนสามารถทำให้ปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ II(ผู้ใหญ่) ลดลง ซึ่งอาจจะเป็นกลไกที่แซนโทนทำให้การทำงานของอินซูลินดีขึ้น จึงสามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้เร็วขึ้น

การอักเสบของส่วนต่างๆ แผลภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน

มังคุดจึงไม่ใช่เพียงผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแต่ยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งคุณค่าทางโภชนาการ“มังคุด” จึงเป็นของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติได้มอบให้กับมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

เหตุผล 33 ประการ ที่ควรพิจารณาใช้สารสกัดจากมังคุด

- ต้านอาการเมื่อยล้า (เพิ่มพลังอาหาร)

- ป้องกันการระคายเคือง อักเสบ

- ลดการเจ็บปวด

- ต้านการเกิดแผลในปาก

- ระงับอาการกดประสาท (ลดความเครียด)

- ลดอาการกังวล

- ลดภาวะสมองเสี่อม ช่วยป้องกันความผิดปกติของสมอง

- ป้องกันการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง

- เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค

- ชะลอความชรา

- ต้านอนุมูลอิสระ

- ต้านเชื้อไวรัส

- ต้านเชื้อแบคทีเรีย

- ต้านเชื้อรา

- ต้านการขับไขมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังมากเกินไป (ต้านการทำงานของผิวหนังผิดปกติ)

- ลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด (ลด L.D.L.)

- ป้องกันเส้นเลือดแดงแข็งตัว

- ป้องกันโรคหัวใจ

- ป้องกันความดันต่ำ

- ป้องกันอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ

- ป้องกันโรคอ้วน (ช่วยลดน้ำหนัก)

- ป้องกันโรคข้อเสื่อม

- ป้องกันโรคกระดูกผุ

- ป้องกันโรคภูมิแพ้

- ป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต

- ป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ)

- ป้องกันโรคพาร์กินสัน (โรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่ทำให้สั่น)

- ป้องกันอาการท้องร่วง

- ป้องกันอาการปวดในระบบประสาท

- ป้องกันอาการเวียนศรีษะ

- ป้องกันโรคตัวหิน (โรคตาที่เกิดจากความดันสูงในกระบอกตาและทำให้ตาบอดในที่สุด)

- ป้องกันอาการตามัว (เกิดความผิดปกติที่เลนส์ในดวงตา)

- ป้องกันโรคเหงือก

ที่มา:http://www.otopnetwork.com/index.php?option=com_content&task=view&id=45&Itemid=70